วันนี้ที่ปากเกร็ด ฟ้าอึมครึมมากเหมือนฝนจะตก ผมตื่นเช้าเหมือนปกติ มานั่งเขียนเรื่องราวความทรงจำในการไปทำงานที่กัมพูชาให้จบ เกริ่นก่อนว่าตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้ายแล้วครับ เพราะจะเล่าแต่เรื่องราวช่วงพักผ่อนล้วนๆ ครับ
ผมได้ไปเที่ยวน้ำตกที่อยู่แถวๆ หน้างาน (อำเภอออมเรียง จังหวัดกำปงสปือ) ทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกวางแผนจะไปกับทีมงานแต่ฝนตกช่วงเที่ยงเลยเดินทางไปช้า ก็เลยนั่งกินข้าวกันที่บ้านพักของผมก่อน
พอไปถึงที่น้ำตก (น้ำตกภาษาเขมรเรียกว่า ตึกทะเละ) ประมาณ 4 โมงเย็นและเป็นวันธรรมดา ไม่มีคนเลย สบายมาก เป็นส่วนตัวมาก ผมไม่ได้ลงเล่นน้ำ ดูน้องๆ พี่ๆ เล่นน้ำผมก็มีความสุขแล้ว
นั่งพักได้สักชั่วโมง ก็เดินทางกลับ สำหรับการเดินทางนั้น เป็นทางลูกรัง พื้นผิวขรุขระ ทำให้เดินทางลำบาก ต้องใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ (ทั้งขาไปและขากลับ)
ครั้งที่ 2 และ 3 ผมไปน้ำตกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ลงไปเล่นด้วย เลยไม่ได้ถ่ายรูป แต่บอกได้เลยว่า ภาพเหล่านั้นเป็นความทรงจำของผมตลอดไปแน่นอน ถ้าถามว่าผมมีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ??? ตอบได้เลยครับว่าใช่ เพราะตลอด 4 เดือนที่ทำงานกัน ผมไม่เคยแบ่งแยกว่าผมเป็นวิศวกร ผมเป็นเจ้านาย ผมเป็นคนให้เงิน และคุณคือคนงาน (ถ้าติดตามที่ผมเขียนมาตลอด จะเห็นได้ว่า ผมใช้คำว่า "ทีมงาน" ไม่ใช่ "คนงาน") คนไทยส่วนมากเวลาคนเขมรไปทำงานด้วยชอบเรียกเค้าว่า "คนงาน" ซึ่งผมฟังแล้วแปลกๆ เลยไม่กล้าเรียกแบบนั้น สำหรับผมไม่มีชนชั้น ไม่มีวรรณะ ผมใช้ชีวิตแบบที่เค้าใช้กันที่นั่น ทำให้ทีมงานรักและสนิทกับผมมาก แต่ไม่เคยล้ำเส้น ยิ่งผมทำตัวติดดิน ยิ่งให้เกียรติผมมากขึ้นไปอีก
ทีมงานผมมาจากแถวเขาพระวิหาร แห้งแล้ง กันดาร ไม่มีไฟใช้ (มีไฟใช้ แต่แพงกว่าบ้านเรามาก) เก็บผักเพื่อมาทำกับข้าวกิน ซึ่งที่เค้ามาทำงานให้ผม ผู้ชายได้ 250 บาท ผู้หญิงได้ 180 บาท มีเด็กผู้หญิงอายุน้อยสุด 18 ปี และ 16 ปี เป็นพี่น้องกันมาขอทำงาน เพราะต้องส่งเงินให้ที่บ้าน ชีวิตและการเป็นอยู่ของคนที่นี่ลำบากมากครับ
ฉะนั้นผมจึงให้ความสุขแก่ทีมงานบ้าง โดยการพาไปเที่ยววัด เที่ยวน้ำตก หรือแม้กระทั่งเลี้ยงส่ง
วันสุดท้ายก่อนผมกลับ ผมเลยจัดงานเลี้ยงแบบครอบครัวขึ้นมา กินกันตั้งแต่เช้า
บางส่วนก็รอไปเที่ยวน้ำตก (รอบที่ 3)
ไปเที่ยวน้ำตกแล้วกลับมาช่วงบ่ายแก่ๆ ผมก็กลับไปเก็บของที่บ้านพักผม (เป็นบ้านเช่าแถวโรงน้ำตาล) แล้วก็บอกกับทีมผมว่า เราจะเอาพัดลม ที่นอน หมอน แจกให้ทีมงานเขมรของเรานะ แต่เนื่องจากทีมงานเขมรเยอะกว่าจำนวนของ เลยจัดให้มีการจับฉลาก เข้าแถวกันเป็นระเบียบ
บางคนได้ที่นอน
บางคนได้หมอน (คนที่คือเด็กที่อายุน้อยที่สุด ที่บอกไว้ครับ)
แต่ละคนใจจดใจจ่อมาก บางคนก็มาจากบ้านแถวๆ นั้น เคยมาช่วยงานรายวันกับผม (ตอนระดมทีม) ก็มาขอจับฉลากด้วย (ถ้าไม่ให้ก็ดูใจร้าย)
ดูท่าจับ ลุ้นกันไปยาวๆ
พัดลมคือรางวัลที่ทุกๆ คนอยากได้
จับฉลากกันเสร็จก็นั่งกินกันต่อ
และนี่คือพี่สาวที่แสนดี ที่คอยทำกับข้าวให้กิน
นี่คือภาพรวมก่อนผมจะเดินทางกลับ
ถึงวันนี้ เป็นระยะเวลา 4 เดือนแล้ว ที่ผมเดินทางกลับมาไทย แต่ความรู้สึกดีๆ ยังคงเก็บอยู่ในความทรงจำเสมอ
และคำพูดของทุกคนที่ต้องท่องดังๆ พร้อมกัน ยังคงอยู่ในหูผมเสมอ
ทะเวอกา ออยเมียน คุณเพียบ
ทะเวอกา ออยเมียน สวัสดิเพียบ
อีโนวา โอเค โอเค โอเค
ผมยังรักและคิดถึงพวกคุณเสมอ
ออกุนเจริญ
เป็นหัวหน้าที่น่ารักมากน้องตาว นิสัยดีแบบนี้ถ้าได้อยู่นานกว่านี้ ทีมงานอาจจะยกลูกสาวให้น้องตาวดูแลก็ได้นะ อิๆ แซวเล่น
มีลูกของหัวหน้าช่าง อายุประมาณ 10 ขวบ อยากตามผมกลับมาอยู่ไทยด้วย รักผมมาก 5555
อยู่ไปนานๆ ความผูกพันที่มีต่อกัน ทำให้รูสึกว่าเหมือนอยู่บ้านตัวเอง
จริงที่สุดเลยครับพี่