Wednesday Walk:subconsciously walking back to the past, เดินไประลึกชาติไป

Sometimes I just let myself go wandering according to my inner voice’s desire. This happened from time to time as my strong conscious control and rational self became too oppressive that my inner voices started to rebel. They fought back for their natural need for freedom and liberty to breathe and maintain their own well being. I would know when the conflict between the conscious self and silent subconscious self was getting violent; my mental health would go haywire. So, I had to let go and let them control the rational conscious self for a while. Then, I would learn about the hidden messages and the deep old wounds which needed to be healed completely. Only then could I close that old chapter of my life and continue much lighter into the uncertain future.

This was one of those days when I realised I had to go out to places I already forgot some time ago. I took a bus heading past Chinatown, which was very closed to where I grew up. I got off the bus at the oldest market in the old part of Bangkok which used to be the hub for Indian and Pakistani traders, Chinese merchants, and some old ethnic groups from the countryside of old Siam. These ethnic groups were taken from their home countries during the wars among Asian powers more than three hundred years ago. I often thought I must have been one of those soldiers who was in charge of rounding people for the journey back to Siam. Perhaps I just wanted to redress for my past karma. That’s why I was so attracted to their communities.

I just followed the unplanned drive to walk in various direction. One thing led to another, from the area around the Indian market towards the old quarter of Chinese community. This area used to be the most popular residence for the old rich second generation of Chinese immigrants; all the big and wealthy Chinese families could be said to live in this area in the past. Nowadays these rich merchants’ familiars live in large mansions with gardens just outside Bangkok. Some of them have made it rich in the real estate projects.

I used to just drop by in the evening to join in the conversations with various groups of elderly Chinese who turned up for their evening walks. There used to be large ponds in front of these old banking buildings where elderly Chinese people would gather to enjoy the sunset and bustling wind. There, I could chatted with them and improved my Chinese. But past economic crisis meant that most private banking businesses went bankrupt and were bought up by the big Western banks. Several local Chinese owned banks went out of business; that’s the beginning of a major take over of Thai economy.

These old townhouses used to be very lively and all the roads in this area were full of cars and street food vendors. Hundreds of white collar workers would emerge from small and medium size companies to have lunch at fast food stalks and do some shopping at the lunch-hour flea market. Lots of money we’re changing hands each day bringing prosperity and happiness to all people in this area. In the evening, another night time street food would be set up for customers till midnight. That was the good old days of economic prosperity and expansion.

Nowadays, the old roads and houses looked empty and deserted. Where have all the people gone?! There used to be head offices of top exporters of sugar, manufacturing gadgets, motor cycle parts and insurance companies in this area. The old pond in front of the banking building has become a car park. The two biggest Chinese owned banks are now owned by overseas investors. So much has happening during the last two economic collapses the country had experienced during my living memory. Now, we have to put up with the terror of a bioweapon warfare and the Great Reset touted by World Economic Forum. Unfortunately we have mostly dim witted and illiterate people as leading politicians under the supervision of well-groomed globalist’s technocrats. The future still hangs in the air; the fight between the light and dark is raging on quietly underneath the surface. An eruption should be dye before the end of this year. All the more reasons for wise people to get out of harm’s way.

บางทีเรานึกอยากไปเดินเที่ยวในที่แปลกๆ ที่คนทั่วไปคิดว่าไม่ใช่ที่เดินเที่ยวเล่น จิตใต้สำนึกบอกให้เราไปเดินในที่เก่าแก่ และมีประวัติศาสตร์ราวกับว่า เขาอยากให้เราไปตามสถานที่ในอดีตชาติของเรา เราต้องไปสัมผัสอะไรบางอย่างที่รอคอยเรามานาน ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราได้กลับไปรับรู้บางอย่างในอดีต และเป็นการร่ำลาและทำให้เป็นการจบวงจรแห่งกรรมในอดีตในชาติปัจจัยด้วย เวลาที่เราอยากเดินทางไปแบบไม่มีจุดหมาย ไปตามความคิดความรู้สึกที่แล่นออกมา เราก็ต้องทำตาม ไม่อย่างนั้นเราคงไม่สบายใจอย่างมาก เราก็ขึ้นรถเมล์และนั่งไปเรื่อย จนผ่านแถวย่านไชน่าทาวน์ และไปถึงสะพานหัน เราก็ลงไปเดินเที่ยวแถวตลาดอินเดีย สะพานหัน สำเพ็งเป็นตลาดที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงเทพ แถวนี้มีประวัติศาสตร์มากว่าสองร้อยปี เป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมที่หลากหลาย มีทั้งจีน อินเดีย ปากีสถาน อิหร่าน มอญ มาตั้งหลักแหล่งค้าขาย และประกอบอาชีพตามความถนัด จนชุมชนเหล่านี้กลายเป็นตลาดนัดของคนกรุง ที่จะมาหาซื้อของทุกอย่างได้ที่ตลาดแห่งนี้

เราเดินดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา ตลาดและถนนหนทางเงียบเหงาไปมาก คนก็บางตาซึ่งทำให้เราอดเศร้าใจไม่ได้ เศรษฐกิจและสังคมกำลังเปลี่ยนแปลงไป เพราะความกลัวตาย จากไวรัสโคโรนา เราเดินไปตามถนนและถ่ายรูปไปด้วย เอาไว้ดูว่าต่อไปบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร เราไปแถวหลังวังเฉลิมเขตต์เก่า เราไม่เคยเห็นวังแห่งนี้ แต่ได้อ่านพบว่าแถวนี้เคยมีวังเล็กๆอยู่หลายวัง สามารถเดินทางถึงกัน โดยการพายเรือไปตามคลอง แต่ปัจจุบันคลองก็กลายเป็นถนนเกือบหมดแล้ว

เราเดินดูถนนและตึกแถวที่เคยเป็นแหล่งที่รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมาก ถนนแถวนี้เคยมีการจราจรหนาแน่นตลอดทั้งวัน ตอนเที่ยงจะมีพนักงานเดินลงมาจากบริษัทห้างร้านหลายพันคน เพื่อมากินอาหารกลางวัน และซื้อของตามตลาดนัดแผงลอยตอนกลางวัน ทุกคนมีเงินใช้สอย คนขายก็หน้าบานเพราะหาเงินมาเลี้ยงชีพได้ เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตอนนั้นทำให้หลายประเทศอิจฉาเรากัน. จนทำให้เกิดวิกฤติทางการเงินที่ถูกวางแผนโดย พ่อมดทางการเงิน ทำให้ธนาคารและทรัสท์ถูกปิดมากว่า40 แห่งพร้อมกัน ความไร้เดียงสาทางเศรษฐกิจและการเงิน ของนักการเมืองทำให้เราตกเป็นทาสทางการเงิน ต้องเสียดอกเบี้ยและธุรกิจถูกกลืนกินโดยชาวต่างชาติ ที่มีนักการเมืองและผู้เชี่ยวชาญไทยคอยสนับสนุน ครั้งนี้เป็นการทำลายล้างด้วยอาวุธชีวภาพ ที่จะทำให้คนตายมากมายในห้าปีนี้ เพราะหลงเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อ และการมอมเมาให้กลัวตาย คนพาดันแย่งำปฉีดยามรณะ เราเองก็ทำใจแล้วว่า ญาติของเราหลายคนจะเริ่มป่วยกันภายในปลายปีนี้ ในอนาคตคนไทยจะตายกันเหมือนใบไม้ร่วง ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะประมาณค่าไม่ได้ นักการเมืองก็อ่อนหัดและตกเป็นทาสทางความคิดของฝรั่งที่หมายจะมาทำลายเรา นี่ถือว่าคงเป็นเวรกรรมของประเทศชาติในอดีต

เราถูกแรงดึงจากจิตใต้สำนึก ให้มาหวนระลึกถึงความหลังของประเทศ ในสมัยที่ต้องต่อสู้ให้ผ่านวิกฤติทางการเงินมาแล้ว แต่ครั้งนี้เราคิดว่าหนักหนาสาหัสกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นผลกระทบของการโจมตีค่าเงินบาทในครั้งก่อน ปัจจุบันมันคือการสงครามเชื้อโรค และอาวุธชีวภาพ ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ เราคงต้องมีสติในการดำรงชีวิตมห้มากกว่านี้ เพราะ หนทางของการอยู่รอดของคนค่อยๆแคบลงเรื่อยๆ เราก็หวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงจะช่วยปกป้องคุ้มครองเรา และบริวารของเราให้รอดปลอดภัยจากภัยอันตรายในครั้งนี้ด้วยเทอญ

Wishing you peace, good health and prosperity.

Stay strong and cheerful.