ICO - คือสิ่งจำเป็น เขียนโดย CZ

in #blockchain7 years ago (edited)

[CTC News Reporters][Article]

ICO - คือสิ่งจำเป็น เขียนโดย CZ

ICOs - Not Just “Good-to-Have,” But Necessary

ผมได้ติดตามเฝ้าดูหลายๆโปรเจค และผมว่าการระดมทุนผ่าน ICO นั้นมันง่ายกว่าในการระดมทุ่นแบบเก่า(Venture Capitals, VC) เป็นร้อยเท่า เมื่อการระดมทุนมันง่ายขึ้น โอกาสที่จะเกิดโปรเจคใหม่ๆก็มีเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า

คุณลองคิดดูสิ หากมีประเทศสองประเทศที่มันเหมือนกันหมดทุกอย่าง มีอย่างเดียวที่ต่างกันคือ ประเทศนึงมีระบบ Startup ที่ดีและให้เงินทุนสูง แล้วมันจะเกี่ยวพันกับความเร็วในการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไร? การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจจะเป็นยังไง? ประเทศไหนที่จะร่ำรวยในระยะยาว? ประเทศไหนที่จะสามารถเก็บภาษีได้เยอะกว่าในระยะยาว? และท้ายที่สุดประเทศไหนจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น? มีอิทธิพลมากขึ้น? สำหรับผม, คำตอบของผมมันกระจ่างชัด เหมือนความใสของคริสตัล ส่วนคุณก็ลองคิดไตร่ตรองดูเอาเอง

เรามาลองพิจารณาในแต่ละส่วนดูว่า ทำไม ICO มันถึงดีต่อระบบ ผมจะให้คุณลองพิจารณา สองข้อที่ผมจะพูด

  1. นั่งนับนักลงทุน VC ว่ามีกี่คน, ทำ Powerpoints, แผนธุรกิจ, ทำสรุป, ร่างสัญญาลงทุน, ทำเรื่องทางด้านกฏหมาย, ปรึกษานักกฏหมาย ทั้งหมดนี้มันทำให้ขั้นตอนการระดมทุนมันยืดยาวออกไป และหลังจากประกาศระดมทุนไป 6 เดือนคุณได้เงินทุนกลับมา $150K USD, CEO / Founder ทั้งหลายก็เสียเวลาส่วนใหญ่และสมองไปกับการทำเรื่องพวกนี้ที่ไม่ใช่สาระสำคัญของโครงสร้างธุรกิจ และพวกเค้าก็นั่งทำมันซ้ำๆ สำหรับการระดมทุนรอบใหม่

  2. เขียน Whitepaper ดีๆ เขียนมันออกมาจากความฝัน/ความหลงไหล ในโปรเจคที่คุณอยากจะทำมันให้เป็นจริง และสามารถระดมทุนได้ $20M USD ภายใน 10 วัน จากทุกๆคนทั่วโลกที่มีอุดมการณ์เดียวกับคุณ เข้าใจในวิสัยทัศน์ของคุณ, พวกเค้าอยากใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ เค้าเฝ้ารอวันที่คุณจะปล่อยของที่เค้าอยากได้, CEO / Founder ก็ทำงานอยู่กับการทดสอบผลิตภัณฑ์ทั้งวัน หรือไม่ก็นั่งคุยเกี่ยวกับ Features ใหม่ๆที่น่าสนใจ

ถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัท คุณอยากจะเลือกข้อไหนเหรอ?? ถ้าที่ประเทศของคุณไม่อนุญาติให้ทำ ICO คุณจะย้ายออกนอกประเทศแล้วไปทำตามความฝันของคุณไหม??

ในมุมมองของนักลงทุน, ICO มันก็ยังชนะอยู่ดี ลองพิจารณาดังนี้

  1. สมมุติคุณมีเงิน $1000 และต้องการจะลงทุนในงานระดมทุน $50MM ของ Uber, คิดว่ายังไงละ?, ผมจะบอกให้ เค้าจะไม่รับเงินของคุณ, หรือแม้กระทั้งคุณมีเงิน $1MM เค้าก็อาจจะยังคิดดูก่อนเลย, พวกเค้าเพ่งเล็งกลุ่มคนที่เป็นนักลงทุน VC ที่มีชื่อเสียง คนพวกนั้นคือกลุ่มเป้าหมายของเค้าต่างหาก, และหรือถ้าคุณยังอยากจะลงจริงๆ คุณก็ต้อง พยายาม ฝากเงินนักลงทุนที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น (ถ้าคุณมีเงินลงทุนขั้นต่ำเพียงพออะนะ ซึ่งขั้นต่ำก็คือ สองสามล้านดอลล่า) ให้เค้าช่วยลงให้คุณหน่อย ถ้าเค้าโอเค เค้าก็จะเก็บค่าธรรมเนียม 2% ในทุกๆปี และบางทีคนๆนั้นเค้าก็ไม่ส่งข่าวอะไรให้คุณเลย ว่าการลงทุนมันยังโอเคอยู่หรือเปล่า และคุณก็ต้องรอ 8 ปี เพื่อจะดูผลของการลงทุนของคุณ, คุณลองคิดดูละกันว่าคุณมี 8 ปีในชีวิตคุณกี่ครั้ง (10 ครั้งก็อายุ 80 แล้วนะ) และจะมี VC กี่คนที่คุณสามารถไว้ใจได้?? คุณอยากจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบิน Business class และค่าโรงแรม 5 ดาวให้พวกเค้าไหมละ??

  2. คุณอาจจะลงทุนในหลายๆ ICO โปรเจคที่มันโคตรเจ๋ง และคุณสามารถติดตาม Founder ได้ทุกเมื่อ รู้ประวัติ รู้ว่าเค้ามีวิสัยทัศน์ยังไง และรู้ว่าคุณจะได้เป็นคนแรกๆที่ได้ทดสอบระบบของเค้า คุณสามารถลงทุน $500 $5000 $50,000 หรือเท่าไหร่ก็ได้ กี่โปรเจคก็ได้ ไม่มีใครมาห้ามคุณ ขึ้นอยู่กับว่าคุณกระเป๋าสตางค์หนาแค่ไหน และก็นั่งดูพวกมันเติบโต, คุณมีทางเลือกที่จะออกจากการลงทุนเมื่อไหร่ก็ได้บนกระดานเทรด และคุณสามารถเลือกลงทุนได้ทุกโปรเจคทั่วโลก มันไม่มีขีดจำกัด คุณอ่านดูแล้วคิดว่ายังไงละ?? ยังอยากไปอ้อนวอนขอร้องให้ VC รับเงินคุณไปลงทุนไหมละ??

คำพุดที่ผมกล่าวมาด้านบนมันชัดเจนว่ามันดีไปหมด หวานหอมชวนดม, แต่ ICO มันก็มีส่วนที่เป็นปัญหา พวกเรากำลังอยู่ในยุคเริ่มต้นของอุสาหกรรมนี้, คุณจะไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าได้โดยไม่เจอปัญหา การจัดการปัญหาอย่างถูกต้องนั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าความคืบหน้า, ถ้าเราเลิกใช้งาน e-commerce/internet เพียงเพราะมีการสวมรอยการใช้งานบัตรเครดิต คุณคิดว่าตอนนี้โลกจะเป็นยังไงละ?? ใครก็ตามที่จัดการกับปัญหาได้ดีที่สุดก็คือผู้ชนะ และนี่แหละที่เรียกว่าการแข่งขัน

มาลองพิจารณาดูให้ลึกลงไปอีก ถึงปัญหาที่พบบ่อยๆ และความคิดที่ผิดๆ

Professionals VS Crowd

มีแนวคิดหนึ่งกล่าวว่า การมีนักลงทุนมืออาชีพนั้นจะส่งผลให้โปรเจคประสบความสำเร็จได้มากกว่าการมีนักลงทุนทั่วๆไปหรือฝูงชน เนื่องมาจากการช่วยเหลือในด้านต่างๆจากผู้ลงทุน

มันก็จริงที่ว่ามีนักลงทุน VC มืออาชีพบางคน ที่มีความเชียวชาญเฉพาะด้าน และช่วยทำให้โปรเจคมันประสบความสำเร็จ แต่สำหรับผมแล้วผมพบว่า "นักลงทุน VC มืออาชีพ" ส่วนมากนั้นไม่รู้เรื่องอะไรในโปรเจคที่เค้าลงเลย พวกเค้าไม่มีประสบการณ์ Startup ไม่มีความเข้าใจในพื้นฐานของเทคโนโลยี และนักลงทุน VC ส่วนใหญ่ไม่ได้คาดหวังจะใช้งานผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเลย พวกเค้าใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตรวจสอบหลายๆโปรเจค และเจรจาต่อรองกับเจ้าของโปรเจค อยู่ในโรงแรม 5 ดาว และบินใน Business Class ทั้งวัน ทุกวันนี้มันมีกองทุนที่เรียกตัวเองว่า "Professional VC Funds" มากกว่าโปรเจค Startup เสียอีก

เปรียบเทียบกับ ICO นักลงทุนพวกนี้มีตั้งแต่ Startup จนถึง advanced potential users (ผู้ที่คาดหวังจะใช้งานผลิตภัณฑ์จริงๆ) พวกเค้าติดตามผลงานคุณ พวกเค้าติดตามความเคลื่อนไหวของคุณ พวกเค้าไม่อายที่จะแบ่งปันความคิดความเห็น สิ่งที่พวกเค้าพบเจอ พวกเค้ากล้าถามคำถามต่างๆกับ Founder โดยตรงผ่านช่องทางต่างๆเช่น Telegram และช่วยป่าวประกาศโปรเจคของคุณ แล้วคุณคิดว่ากลุ่มไหนเหรอที่น่าจะประสบความสำเร็จ

ถ้าคุณเป็นนักลงทุน ICO มันแน่นอนอยู่แล้วคุณสมควรจะต้องทำการบ้านซะบ้าง อย่าเป็นเพียงแค่คนที่ทำตามคนอื่น ลงทุนในโปรเจคที่คุณเข้าใจ และเชื่อในมัน อ่าน Whitepaper บ้าง, ลองติดตาม Founder สักช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะลงทุน ถ้าคุณพบสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แชร์มันออกไป คุณต้องบอกผู้คนว่าคุณคิดเห็นอย่างไร

Scams

Scams ความจริงแล้วมันมีอยู่ทั่วๆไปในทุกๆอุตสาหกรรม ทุกวันนี้ผมก็ยังได้รับ SMS บอกผมว่าผมชนะรางวัล แต่ผมต้องโอนเงินให้พวกเค้าก่อน เพื่อจะรับรางวัล แล้วแบบนี้พวกเราทุกคนต้องหยุดใช้โทรศัพท์, SMS และธนาคารไหม?? สุดท้ายมันก็จะต้องมีกฏหมายมาเพื่อควบคุมพวกนี้ และในอุสาหกรรมใหม่อย่าง Blockchain มันจะต้องมีแน่นอนในอนาคต ผมว่าพวกเราไม่ต้องทำอะไรกับมันในส่วนนี้

Failures

ICO ส่วนใหญ่ก็คือ Startup Project, และมันแน่นอนก็มีความเสี่ยงสูงที่จะล้มเหลว, จริงๆแล้วมันก็เหมือน Startup ทั่วๆไปในยุคก่อนๆ ไม่ใช่ของใหม่อะไรเลย, นักลงทุน ICO ส่วนใหญ่รู้ดี, นักลงทุน ICO จริงๆก็คือผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์รุ่นแรก และผู้เรียนรู้รุ่นแรก

ผมเชื่ออย่างมากว่าหากคุณนำ โปรเจคที่มีการลงทุนแบบ VC มาเทียบกับแบบ ICO ผมว่า ICO จะมีโปรเจคที่สำเร็จเยอะกว่าแบบ VC, เนื่องด้วยเหตุผลสามประการดังนี้

  1. ผู้ริเริ่มโปรเจคใช้เวลาในขั้นตอนการระดมทุนน้อยลง และไปใช้เวลากับในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์มากขึ้น
  2. ได้รับเงินทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้นในส่วนที่เป็นจุดอ่อนจะสามารถเอาชนะมันได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเค้าอ่อนในการทำตลาด พวกเค้าก็สามารถนำเงินไปจ้างคนที่เป็นมืออาชีพมาช่วยได้
  3. ICO ช่วย Jumpstart โปรเจคนั้นๆ ไม่ใช่เพราะเงินทุน แต่เพราะมันช่วยสร้างฐานผู้ใช้งานในช่วงแรก และตอนนี้ User ก็คือ Investor ในเวลาเดียวกัน พวกเค้านอกจากจะช่วยทดสอบผลิตภัณฑ์แล้ว เค้ายังออกความคิดความเห็นใน Community พวกเค้ายังประกาศความดีของคุณไปตาม Social media ต่างๆอีก

สรุป
คุณรู้ไหมทุกวันนี้ VC เค้าทำอะไรกัน?? พวกเค้ากำลังลงทุนใน ICO ไง VC Groups, ไม่เหมือนกับพวกองค์กรใหญ่ๆที่ทำงานเชื่องช้า พวก VC ตอนนี้เค้าเอาจมูกไปตามหาเงินแล้ว! ผมพูดได้แค่นี้แหละ มันน่าเศร้าใจนะ ที่องค์กรใหญ่ๆหลายองค์กร ผู้ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากประชาชนให้ดูแลพัฒนา Economic และ Public wealth นั้นมันช้าเกินไป คนที่ทำอะไรรวดเร็วจะเป็นคนที่ได้รับผลตอบแทนอย่างสูง ดังนั้นอย่าทำตนเองให้ถูกทิ้งอยู่ข้างหลังละ

ขอบคุณครับ
ผู้เขียน Changpeng Zhao ผู้ก่อตั้ง Binance
ผู้แปล มาร์ช
CTC News Reporters
https://ctc.in.th

Reference
https://www.linkedin.com/pulse/icos-just-good-to-have-necessary-changpeng-zhao/

#ctcnewsreporters #article